หาซื้ออุปกรณ์การแพทย์ใช้ในบ้าน สะดวก ปลอดภัย

เราจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ใช้ที่บ้าน ราคาสบายกระเป๋า รับประกันคุณภาพ 1 ปี เต็ม มีปัญหาเปลี่ยนสินค้าใหม่ให้ทันทีภายในระยะเวลที่กำหนด

ในยุคที่เราต้องดูแลสุขภาพกันมากขึ้น การมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ไว้ใช้ที่บ้านไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ควรมีติดบ้าน ตั้งแต่อุปกรณ์พื้นฐานไปจนถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการดูแลผู้ป่วยเฉพาะทาง มาเริ่มกันเลย!

ทำไมต้องมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ไว้ที่บ้าน

  1. เตรียมพร้อมรับมือเหตุฉุกเฉิน
    อุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นได้เสมอ การมีอุปกรณ์พร้อมช่วยให้เราจัดการได้ทันท่วงที
  2. ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย
    บางกรณีไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาล เราสามารถดูแลเบื้องต้นได้เองที่บ้าน
  3. ดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน
    การตรวจวัดสุขภาพเป็นประจำช่วยให้เราเฝ้าระวังและป้องกันปัญหาสุขภาพได้ดีขึ้น
  4. เพิ่มความมั่นใจ
    การมีอุปกรณ์พร้อมช่วยให้เรารู้สึกปลอดภัยและมั่นใจในการดูแลตนเองและคนในครอบครัว
ทำไมต้องมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ไว้ที่บ้าน

อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ควรมีติดบ้านในปี 2024

1. ชุดปฐมพยาบาล

ชุดปฐมพยาบาลเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดที่ทุกบ้านควรมี ประกอบด้วย

  • พลาสเตอร์ยา
  • ผ้าก๊อซ
  • สำลี
  • แอลกอฮอล์ล้างแผล
  • น้ำยาฆ่าเชื้อ
  • ยาทาแก้ปวด แก้อักเสบ
  • กรรไกร และ คีมคีบ

เคล็ดลับ: ตรวจสอบวันหมดอายุของยาและอุปกรณ์ในชุดปฐมพยาบาลอย่างสม่ำเสมอ และเติมของที่ใช้หมดไป

ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ: 500 – 1,500 บาท ขึ้นอยู่กับความครบถ้วนของอุปกรณ์

ชุดปฐมพยาบาล
เทอร์โมมิเตอร์

2. เทอร์โมมิเตอร์

เทอร์โมมิเตอร์ช่วยให้เราวัดอุณหภูมิร่างกายได้อย่างแม่นยำ มีให้เลือกหลายแบบ

  • แบบดิจิทัล: ใช้งานง่าย อ่านค่าได้รวดเร็ว
  • แบบอินฟราเรด: วัดอุณหภูมิได้โดยไม่ต้องสัมผัสตัว เหมาะสำหรับเด็กเล็ก
  • แบบปรอท: แม่นยำสูง แต่ต้องระวังในการใช้งาน

ข้อควรรู้: อุณหภูมิปกติของร่างกายอยู่ที่ประมาณ 36.5-37.5 องศาเซลเซียส หากสูงกว่านี้ถือว่ามีไข้

ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ

  • แบบดิจิทัล: 200 – 500 บาท
  • แบบอินฟราเรด: 1,000 – 3,000 บาท

3. เครื่องพ่นยา

เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ เช่น หอบหืด หรือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ช่วยให้ยาเข้าสู่ปอดได้โดยตรง มีสองแบบหลัก

  • แบบอัลตราโซนิค: ทำงานเงียบ เหมาะสำหรับเด็ก
  • แบบลูกสูบ: แรงดันสูง เหมาะสำหรับผู้ใหญ่

เคล็ดลับการใช้: ทำความสะอาดเครื่องหลังใช้ทุกครั้งเพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรค

ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ: 1,500 – 5,000 บาท ขึ้นอยู่กับประเภทและคุณภาพของเครื่อง

เครื่องพ่นยา

4. เครื่องวัดความดัน

  • ความดันโลหิตสูงคืออะไร

ความดันโลหิตคือแรงดันของกระแสเลือดที่มีต่อผนังหลอดเลือดโดยมีอวัยวะสำคัญที่ควบคุมให้ความดันอยู่ในระดับปกติ เช่นหัวใจ ไต หลอดเลือดที่หดหรือขยายตัวได้เป็นต้น ค่าความดันโลหิตขณะนั่งพักในวัยผู้ใหญ่จะประมาณ 120/80 มม.ปรอท และเปลี่ยนแปลงได้ เช่น ตามท่าของร่างกาย อาหาร เครื่องดื่ม อารมณ์ที่เปลี่ยนแปลง ปริมาณการออกกำลังกาย เป็นต้น สามารถตรวจวัดความดันโลหิตที่รอบแขนได้ 2 ค่าดังนี้
ความดันซีสโตลิก หรือค่าบนเป็นแรงดันสูงสุดขณะที่กล้ามเนื้อหัวใจบีบตัวโดยค่าปกติจะไม่เกิน 139 มม.ปรอท
ความดันไดแอสโตลิก หรือค่าล่างเป็นแรงดันขณะที่หัวใจคลายตัวโดยค่าปกติจะไม่เกิน 89 มม.ปรอท

5. หน้ากากอนามัย

เนื่องจากฝุ่น PM 2.5 ยังคงวนเวียนอยู่อากาศที่เราหายใจในทุก ๆ วัน การป้องกันฝุ่น PM 2.5 ที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนอย่างมาก เพราะหากเราละเลยและขาดความระมัดระวังก็อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้ โดยเฉพาะผู้มีปัญหาในระบบทางเดินหายใจ ผู้สูงอายุ และเด็ก

ฝุ่น PM 2.5 (Particulate Matter 2.5) เป็นฝุ่นขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 2.5 ไมโครเมตร จัดเป็นมลพิษทางอากาศที่มีมากในปัจจุบัน โดยต้นกำเนิดของฝุ่น PM 2.5 มาจากธรรมชาติและการกระทำของมนุษย์ อาทิ ไฟป่า การเผาไม้หรือขยะในที่โล่ง โรงงานอุตสาหกรรม การก่อสร้าง การขับขี่ยานพาหนะบนท้องถนน หรือแม้กระทั่งการสูบบุหรี่

การสูดดมฝุ่น PM 2.5 ในระยะสั้นอาจทำให้ไอ จาม น้ำมูกไหล และมีปัญหาในการหายใจ แต่ในระยะยาวอาจส่งผลต่อระบบอวัยวะในร่างกายจนเป็นอันตรายได้ อาทิ ฝุ่น PM 2.5 สะสมอยู่ในปอดหรือกระแสเลือด ปอดทำงานผิดปกติ โรคประจำตัวอย่างโรคระบบทางเดินหายใจหรือโรคหัวใจและหลอดเลือดมีอาการแย่ลง สตรีมีครรภ์อาจเสี่ยงต่อการแท้งบุตรหรือคลอดก่อนกำหนด และทารกอาจมีพัฒนาการที่ผิดปกติ หน้ากากอนามัยจึงมีส่วนเข้ามาช่วยป้องกันในเรื่องเหล่านี้ได้ดีเป็นอย่างมาก หากสนใจสั่งซื้อสินค้าติดต่อเราได้ตลอด หรือ สั่งซื้อผ่านทาง Line ก็ได้เช่นกันนะ

6. เครื่องวัดน้ำตาล

น้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) คือภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในโลหิตเกินกว่า 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ผู้ป่วยเบาหวานจะมีค่าระดับอยู่ที่ 126 ขึ้นไป ดังนั้นหากอยู่ในช่วง 100-125 ควรทำการพบแพทย์ เพื่อหาวิธีรักษาก่อนที่จะเป็นโรคเบาหวาน เพราะถ้าหากปล่อยไว้ มีความเสี่ยงที่เป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างมาก โดยเฉพาะภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้เส้นประสาท และหลอดเลือดต่างๆ ถูกทำลาย ไม่ว่าจะเป็น การติดเชื้อที่ผิวหนัง หรือเท้า ไตวาย หัวใจล้มเหลว หลอดเลือดสมอง หรือต้องสูญเสียดวงตา ทุพพลภาพตลอดชีวิต

7. ปรอทวัดไข้

ปรอทวัดไข้ เครื่องมือที่ใช้ช่วยตรวจเช็คอุณหภูมิของร่างกายที่เราควรมีติดเอาไว้ที่บ้าน เป็นเครื่องมือที่จะช่วยทำให้เราทราบว่ามีไข้ หรือไม่มีไข้ ซึ่งในปัจจุบัน ปรอทวัดไข้ที่มีขาย มีอยู่หลายแบบด้วยกัน ลองมาทำความรู้จักปรอทวัดไข้แบบต่างกันก่อน จะได้เลือกซื้อและเลือกใช้ถูกต้อง

  1. ปรอทวัดไข้แบบแก้ว นิยมใช้ทั่วไปเนื่องจากราคาไม่แพง หาซื้อได้ง่าย วิธีการใช้จะแต่งกันไปตามตำแหน่งที่ใช้งานดังนี้ การวัดไข้ทางปาก เหมาะสำหรับเด็กที่มีอายุ 5 ปี ขึ้นไป, การวัดไข้ทางรักแร้ เหมาะสำหรับเด็กแรกเกิด จนถึง 5 ปี, การวัดไข้ทางก้น เหมาะสำหรับเด็กแรกเกิด หรือเด็กเล็ก
  2. ปรอทวัดไข้แบบดิจิตอล สามารถใช้ได้กับเด็กทุกช่วงวัย รวมถึงผู้ใหญ่ การใช้งานคล้ายกับปรอทวัดไข้แบบธรรมดา ให้การอ่านค่าที่แม่นยำกว่าผ่านหน้าปัดตัวเลขดิจิทัล สามารถวัดได้หลายจุดในร่างกาย เช่น การวัดไข้ทางปาก การวัดไข้ทางรักแร้
  3. เครื่องวัดอุณหภูมิแบบแถบเทปวัดไข้ แถบวัดอุณหภูมิสามารถใช้ได้กับทุกวัย สะดวก ปลอดภัย วิธีใช้ เอาแถบเทปวัดไข้วางบนหน้าผากทิ้งไว้ประมาณ 15 วินาที ค่าความร้อนจะค่อยๆ ปรากฏขึ้น
  4. เครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรด สามารถใช้ได้กับทุกช่วงอายุได้รับความนิยมใช้ในสถานพยาบาลต่างๆ ใช้งานง่าย ปลอดภัย

อุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับการดูแลเฉพาะทาง

1. เครื่องผลิตออกซิเจน

สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาการหายใจเรื้อรัง เครื่องผลิตออกซิเจนช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในอากาศที่หายใจเข้าไป มีทั้งแบบตั้งโต๊ะและแบบพกพา

ข้อควรรู้: ต้องใช้ตามคำสั่งแพทย์เท่านั้น และควรมีการตรวจเช็คเครื่องเป็นประจำ

ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ

  • แบบตั้งโต๊ะ: 30,000 – 60,000 บาท
  • แบบพกพา: 50,000 – 100,000 บาท

2. เตียงผู้ป่วยไฟฟ้า

ช่วยให้ผู้ป่วยที่ต้องนอนติดเตียงเป็นเวลานานสามารถปรับท่านอนได้สะดวก ลดความเสี่ยงในการเกิดแผลกดทับ

ฟีเจอร์ที่ควรมี

  • ราวกั้นเตียง
  • ที่นอนลมป้องกันแผลกดทับ
  • ระบบปรับระดับหัวเตียงและปลายเท้า

ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ: 20,000 – 50,000 บาท ขึ้นอยู่กับคุณภาพและฟีเจอร์

3. รถเข็นผู้ป่วย

มีหลายแบบให้เลือกตามความต้องการ

  • แบบพับได้: สะดวกในการเก็บและขนย้าย
  • แบบปรับเอนได้: เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการการพักผ่อนระหว่างวัน
  • แบบไฟฟ้า: สำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกในการเคลื่อนที่

เคล็ดลับการเลือก: พิจารณาขนาดและน้ำหนักของผู้ใช้ รวมถึงพื้นที่ใช้งานในบ้าน

ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ

  • แบบพับได้: 5,000 – 15,000 บาท
  • แบบปรับเอนได้: 10,000 – 30,000 บาท
  • แบบไฟฟ้า: 50,000 – 150,000 บาท

4. อุปกรณ์ช่วยเดิน

มีให้เลือกหลากหลายตามระดับความต้องการ

  • ไม้เท้า: สำหรับผู้ที่ต้องการการพยุงเล็กน้อย
  • ไม้ค้ำยัน: ใช้เมื่อต้องการการรับน้ำหนักมากขึ้น
  • วอล์คเกอร์: ให้การพยุงรอบด้าน เหมาะสำหรับผู้ที่ทรงตัวไม่ดี

ข้อแนะนำ: ปรึกษากายภาพบำบัดเพื่อเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมและเรียนรู้วิธีใช้ที่ถูกต้อง

ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ

  • ไม้เท้า: 500 – 2,000 บาท
  • ไม้ค้ำยัน: 1,000 – 3,000 บาท (ต่อคู่)
  • วอล์คเกอร์: 1,500 – 5,000 บาท

5. เครื่องดูดเสมหะ

สำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหาในการไอขับเสมหะ ช่วยทำความสะอาดทางเดินหายใจ มีทั้งแบบใช้ไฟฟ้าและแบบใช้มือ

วิธีใช้ที่ถูกต้อง

  1. ล้างมือให้สะอาด
  2. สวมถุงมือ
  3. เปิดเครื่องและตรวจสอบแรงดูด
  4. สอดสายดูดเข้าไปในปากหรือจมูกอย่างระมัดระวัง
  5. ดูดไม่เกิน 10-15 วินาทีต่อครั้ง
  6. ทำความสะอาดอุปกรณ์หลังใช้ทุกครั้ง

ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ: 3,000 – 10,000 บาท สำหรับเครื่องดูดเสมหะไฟฟ้าคุณภาพดี

อุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับการดูแลเฉพาะทาง เช่น เครื่องผลิตออกซิเจน เตียงไฟฟ้า

การดูแลรักษาอุปกรณ์ทางการแพทย์

การดูแลรักษาอุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างถูกวิธีไม่เพียงแต่ช่วยยืดอายุการใช้งาน แต่ยังรับประกันประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการใช้งานด้วย นี่คือคำแนะนำทั่วไปในการดูแลอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้ที่บ้าน

  1. ทำความสะอาดสม่ำเสมอ: ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อที่เหมาะสมเช็ดทำความสะอาดอุปกรณ์หลังการใช้งานทุกครั้ง
  2. เก็บในที่เหมาะสม: เก็บอุปกรณ์ในที่แห้ง สะอาด และปลอดภัยจากแสงแดดโดยตรง
  3. ตรวจสอบการทำงานเป็นประจำ: ทดสอบการทำงานของอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้แน่ใจว่ายังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  4. เปลี่ยนแบตเตอรี่ตามกำหนด: สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้แบตเตอรี่ ควรเปลี่ยนตามระยะเวลาที่กำหนดหรือเมื่อสังเกตว่าประสิทธิภาพลดลง
  5. อ่านคู่มือการใช้งาน: ศึกษาคู่มือการใช้งานอย่างละเอียดเพื่อทราบวิธีการดูแลรักษาที่ถูกต้องสำหรับอุปกรณ์แต่ละชนิด

เคล็ดลับ: สร้างตารางการบำรุงรักษาและตรวจสอบอุปกรณ์เป็นประจำ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างพร้อมใช้งานเมื่อต้องการ

เก้าอี้นั่งถ่าย หรือ รถเข็นนั่งถ่าย เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อช่วยให้ผู้ป่วย ผู้พิการ หรือผู้สูงอายุ ใช้ในการขับถ่ายให้กลายเป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้น เนื่องจากบุคคลกลุ่มนี้ มีการเคลื่อนไหวร่างกายที่ลำบากกว่าคนปกติ จึงทำให้การขับถ่าย ไปยังห้องน้ำ กลายเป็นเรื่องที่ยากลำบาก การผลิตที่นั่งถ่ายคนป่วยขึ้นมา จึงช่วยตอบสนองและอำนวยความสะดวก ให้กับผู้ใช้งานได้เป็นอย่างดี รวมถึงยังช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ดูแล บุคคลดังกล่าว และยังช่วยเรื่องความปลอดภัยในการขับถ่ายอีกด้วย อีกทั้งยังสามารถนั่งอาบน้ำได้ในตัวได้อีกด้วย

การเลือกซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับใช้ที่บ้าน

การเลือกซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ นี่คือปัจจัยที่ควรพิจารณา

  1. คำแนะนำจากแพทย์: ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำในการเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะของคุณ
  2. คุณภาพและมาตรฐาน: เลือกอุปกรณ์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น อย. หรือมาตรฐานสากลอื่นๆ
  3. ความสะดวกในการใช้งาน: พิจารณาความง่ายในการใช้งาน โดยเฉพาะหากผู้ใช้เป็นผู้สูงอายุหรือมีข้อจำกัดทางร่างกาย
  4. ขนาดและการเคลื่อนย้าย: คำนึงถึงพื้นที่ในบ้านและความสะดวกในการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์
  5. การรับประกันและบริการหลังการขาย: ตรวจสอบระยะเวลารับประกันและบริการซ่อมบำรุงที่มีให้
  6. ราคาและความคุ้มค่า: เปรียบเทียบราคาจากหลายแหล่งและพิจารณาถึงความคุ้มค่าในระยะยาว

ข้อควรระวัง: ระวังการซื้ออุปกรณ์มือสองหรือจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ เพราะอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการใช้งาน

เก้าอี้นั่งอาบน้ำ เป็นสิ่งสำคัญ ในการช่วยให้ผู้ป่วย หรือผู้สูงอายุ ที่เคลื่อนไหวไม่สะดวก สามารถนั่งอาบน้ำในห้องน้ำได้ อย่างสะดวกสบาย และที่สำคัญการใช้งานเก้าอี้อาบน้ำ ผู้ป่วยยังมีความปลอดภัยมากกว่า การยืนอาบน้ำหรือนั่งอาบน้ำกับสิ่งอื่น ๆ เพราะเก้าอี้นั่งอาบน้ำนั้น ถูกผลิตจากวัสดุ ที่มีความเหมาะสมกับการอาบน้ำ จึงทำให้การอาบน้ำของผู้ป่วย ผู้สูงอายุ หรือผู้พิการเป็นไปด้วยความปลอดภัย

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

ไม่ อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่บ้านเป็นเพียงเครื่องมือช่วยในการดูแลสุขภาพเบื้องต้นและติดตามอาการ แต่ไม่สามารถทดแทนการตรวจวินิจฉัยและการรักษาโดยแพทย์ได้

ไม่จำเป็นเสมอไป ควรเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณ โดยคำนึงถึงคุณภาพ มาตรฐาน และความคุ้มค่าในระยะยาว

อุปกรณ์แต่ละชนิดมีวิธีการดูแลรักษาที่แตกต่างกัน ควรศึกษาคู่มือการใช้งานอย่างละเอียดและปฏิบัติตามคำแนะนำในการบำรุงรักษาเพื่อให้อุปกรณ์มีอายุการใช้งานที่ยาวนานและปลอดภัย

มีครับ ควรใช้อุปกรณ์ตามคำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ รักษาความสะอาด และตรวจสอบการทำงานของอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ หากพบความผิดปกติควรหยุดใช้และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทันที

โดยทั่วไปไม่แนะนำให้แบ่งปันอุปกรณ์ทางการแพทย์ส่วนบุคคล เนื่องจากอาจเกิดการปนเปื้อนและแพร่กระจายเชื้อโรคได้ ควรใช้อุปกรณ์ส่วนตัวเท่านั้น

สรุป

การมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่บ้านเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการดูแลสุขภาพในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์พื้นฐานอย่างชุดปฐมพยาบาลหรืออุปกรณ์เฉพาะทางสำหรับผู้ป่วย การเลือกใช้อย่างเหมาะสมและดูแลรักษาอย่างถูกวิธีจะช่วยให้คุณและครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าอุปกรณ์เหล่านี้เป็นเพียงส่วนเสริมในการดูแลสุขภาพเท่านั้น การพบแพทย์ตามนัดและปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการดูแลสุขภาพอย่างยั่งยืน

ดูแลตัวเองและคนที่คุณรักด้วยความรอบคอบและใส่ใจ แล้วคุณจะพบว่าการมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่บ้านนั้นช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นและปลอดภัยมากขึ้นอย่างแน่นอน!